เมนู

เมื่อดิฉันเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีจิตเลื่อมใส
ได้ถวายแป้งคั่วอันเจือด้วยน้ำมัน แก่ภิกษุเที่ยว
บิณฑบาต ผู้มีจิตซื่อตรง ดิฉันเสวยวิบากแห่ง
กุศลกรรมนั้นในวิมานนี้สิ้นกาลนาน ก็ผลบุญนั้น
เดี๋ยวนี้ยังเหลือนิดหน่อย พ้น 4 เดือนไปแล้ว
ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ จักไปตกนรกอันเร่าร้อน
สาหัส มี 4 เหลี่ยม มี 4 ประตู จำแนกเป็น
ห้อง ๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่น
เหล็ก พื้นนรกนั้นล้วนเป็นเหล็กแดง ลุกเป็น
เปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไปตลอด
ร้อยโยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ดิฉันจักต้อง
เสวยทุกขเวทนาในนรกนั้นตลอดกาลนาน ก็การ
เสวยทุกข์เช่นนี้เป็นผลแห่งกรรมชั่ว เพราะ
ฉะนั้น ดิฉันจึงเศร้าโศกที่จะไปเกิดในนรกนั้น.

จบ ขัลลาติยเปติวัตถุที่ 10

อรรถกถาขัลลาฏิยะเปติวัตถุที่ 10



พระคาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ
นางเปรตขัลลาฏิยะตนหนึ่ง จึงตรัสคำเริ่มต้นว่า กา นุ อนฺโต
วิมานสฺมึ
ดังนี้.

ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกรุงพาราณสี ยังมีหญิงผู้อาศัยรูป
เลี้ยงชีพคนหนึ่ง รูปร่างสวย น่าดู น่าชม ประกอบด้วยผิวพรรณ
อันงดงามยิ่งนัก มีกำแห่งผมน่ารื่นรมย์ใจ. จริงอยู่ ผมของนางดำ
ยาว ละเอียด อ่อนนุ่ม สนิท มีปลายตวัดขึ้น เกล้าเป็นสองแฉก
สยาย ห้อยย้อยลงจนถึงสายรัดเอว. คนหนุ่มเห็นความงามแห่ง
เส้นผมของนางนั้น โดยมากมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง. ลำดับนั้น หญิง
2-3 คน ถูกความริษยาครอบงำ ทนต่อความงามของผมนางนั้น
ไม่ได้ จึงพากันปรึกษา เอาสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ล่อหญิงคนใช้
ของนางนั่นเอง ให้หญิงคนใช้ให้ยาอันเป็นเหตุทำเส้นผมของนาง
ให้หลุดร่วงไป. ได้ยินว่า หญิงคนใช้นั้น ประกอบยานั้นกับผง
สำหรับอาบน้ำ ในเวลานางไปอาบน้ำในแม่น้ำคงคา ก็ได้ให้แก่นาง.
นางเอาผงนั้นจุ่มที่รากผมแล้วดำลงไปในน้ำ. พอนางดำน้ำเท่านั้น
เส้นผมพร้อมทั้งรากผม ได้หลุดร่วงไป. และศีรษะของนางได้เป็น
เช่นกับกระโหลกน้ำเต้าขม. ลำดับนั้น นางหมดเส้นผมโดยประการ
ทั้งปวง เหมือนนกพิราบจกถอนขนหัว ฉะนั้น น่าเกลียดพิลึก
เพราะความละอาย จึงไม่อาจเข้าไปในเมือง เอาผ้าคลุมศีรษะ
สำเร็จการอยู่ในที่แห่งหนึ่งนอกเมือง พอ 2-3 วันผ่านไป นางหมด
ความละอาย กลับจากที่นั้นบีบเมล็ดงา กระทำการค้าน้ำมัน และ
ทำการค้าสุรา เลี้ยงชีพ. วันหนึ่ง เมื่อคน 2-3 คน เมาสุรา
หลับสนิท นางจึงลักเอาผ้าที่คนเหล่านั้นนุ่งไว้หลวม ๆ.

ภายหลังวันหนึ่ง นางเห็นพระขีณาสพเถระรูปหนึ่ง กำลัง
เที่ยวบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใสจึงนำท่านไปยังเรือนของตน ให้นั่ง
บนอาสนะที่ตบแต่งไว้ ได้ถวายแป้งที่บีบในรางผสมกับน้ำมันงา.
เพื่อจะอนุเคราะห์นาง พระเถระจึงรับประเคนแป้งผสมน้ำมันงา
นั้นฉัน. นางมีจิตเลื่อมใส ได้ยินกั้นร่ม. และพระเถระนั้น เมื่อจะ
ทำนางให้มีจิตร่าเริง จึงทำอนุโมทนากถาแล้วหลีกไป. ก็ในเวลา
ที่อนุโมทนานั่นแหละ หญิงนั้น ได้ตั้งความปรารถนาว่า พระคุณเจ้า
ขอให้เส้นผมของดิฉันยาวละเอียด นุ่มสนิท ตวัดปลายเถิด.
กาลต่อมา นางถึงแก่กรรม เพราะผลของกรรมที่คละกัน
จึงเกิดเป็นหญิงอยู่โดดเดี่ยวในวิมานทอง ท่ามกลางมหาสมุทร.
เส้นผมของนางสำเร็จตามอาการที่เธอปรารถนานั้นแหละ. แต่
เพราะนางลักเอาผ้าของพวกมนุษย์ นางจึงได้เป็นหญิงเปลือย.
นางเกิดบ่อย ๆ ในวิมานทองนั้น เป็นหญิงเปลือยอยู่ตลอดพุทธันดร
หนึ่ง.
ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา เสด็จอุบัติ
ในโลก ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร ประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี
โดยลำดับ พ่อค้าชาวกรุงสาวัตถี 700 คน แล่นเรือไปสู่มหาสมุทร
มุ่งไปยังสุวรรณภูมิ. นาวาที่พวกพ่อค้านั้นขึ้นไป ถูกกำลังลม
พัดผันให้ปั่นป่วน จึงหมุนไปข้างโน้นข้างนี้ จนถึงประเทศที่นาง
เวมานิกเปรตนั้นอยู่. ลำดับนั้นนางเวมานิกเปรตนั้น จึงแสดงตนแก่

พวกพ่อค้านั้น พร้อมด้วยวิมาน. หัวหน้าพ่อค้าเห็นดังนั้น เมื่อจะถาม
จึงกล่าวคาถาว่า :-
น้องสาวเป็นใครหนอ อยู่ในวิมานนี้ ไม่
ยอมออกจากวิมานเลยนี่ น้องสาว จงออกมาเถิด
น้อง พี่อยากจะเห็นน้องข้างนอก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กา นุ อนฺโตวิมานสฺมึ ติฏฺนฺตี
ความว่า หัวหน้าพ่อค้าถามว่า น้องอยู่ภายในวิมาน เป็นใครหนอ
เป็นหญิงมนุษย์ หรืออมนุษย์. บทว่า นูปนิกฺขมิ ความว่า น้อง
ไม่ยอมออกจากวิมานเลย. บทว่า อุปนิกฺขมสฺสุ ภทฺเท ปสฺสาม ตํ
พหิฏฺฐิตํ
ความว่า น้อง พวกเราปรารถนาจะเห็นน้องออกมา
อยู่ข้างนอก เพราะฉะนั้น น้องจงออกมาจากวิมานเถิด. บาลีว่า
อุปนิกฺขมสฺส ภทฺทนฺเต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ขอความเจริญจงมี
แก่น้องสาวเถิด.
ลำดับนั้น นางเวมานิกเปรตนั้น เมื่อจะประกาศ ตามที่ตน
ไม่อาจจะออกไปข้างนอกแก่พ่อค้านั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
ดิฉัน เป็นหญิงเปลือยกาย มีแต่ผมปิดบัง
ไว้ อึดอัด ละอาย ที่จะออกไปข้างนอก ดิฉันได้
ทำบุญไว้น้อยนัก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฏียามิ ความว่า ดิฉันเป็น
หญิงเปลือยกาย อึดอัดใจ ลำบากที่จะออกไปข้างนอก. บทว่า
หรายามิ แปลว่า ละอาย. บทว่า เกเสหมฺหิ ปฏิจฺฉนฺนา ความว่า

ดิฉันมีเส้นผมปิดบังไว้ คือ มีผมคลุมร่างกาย. บทว่า ปุญฺญํ เม
อปฺปกํ กตํ
ความว่า ดิฉันทำกุศลกรรมไว้น้อย คือ เล็กน้อย อธิบายว่า
เพียงถวายแป้งผสมน้ำมันเท่านั้น.
ลำดับนั้น พ่อค้า ประสงค์จะให้ผ้าห่มของตนแก่นางเวมานิก
เปรตนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
แน่ะ น้องสาว คนสวย เอาเถอะ พี่จะให้
ผ้าห่มเนื้อดีแก่น้อง เชิญน้องนุ่งผ้าผืนนี้แล้ว จง
ออกมาข้างนอก เชิญออกมาข้างนอกวิมานเถิด
น้อง พี่จะขอพบน้องข้างนอก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท แปลว่าเชิญเถิด. บทว่า
อุตฺตรียํ แปลว่า ผ้าคลุมกาย. อธิบายว่า ผ้าห่ม. บทว่า ททามิ เต
แปลว่า พี่จะให้แก่น้อง. บทว่า อิทํ ทุสฺสํ นิวาสย ได้แก่ น้องจง
นุ่งผ้าห่มผืนนี้ของพี่เถิด. บทว่า โสภเณ แปลว่า แน่ะน้องผู้มี
รูปร่างสวย.
ก็แล พ่อค้า ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำเอาผ้าห่มของตน
ไปให้แก่นาง. นางเวมานิกเปรต เมื่อจะแสดงความที่พ่อค้าผู้มอบ
ผ้าห่มให้อย่างนั้น เป็นการอนุเคราะห์แก่ตน และการที่พ่อค้าให้
ผ้าห่มอย่างนั้น สำเร็จประโยชน์ จึงกล่าว 2 คาถาว่า :-
ผ้านั้น ถึงพี่จะให้ที่มือของดิฉันเอง ด้วย
มือของพี่ ก็ไม่สำเร็จแก่น้องได้ดอก ถ้าในหมู่
มนุษย์นี้ มีอุบาสกผู้มีศรัทธา เป็นพระสาวกของ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพี่จงให้แก่อุบาสกนั้น
นุ่งห่มผ้าที่พี่จะให้แก่น้องแล้ว ค่อยอุทิศส่วนกุศล
ให้น้อง เมื่อพี่ทำอย่างนั้น น้องก็จะได้นุ่งห่มผ้านี้
ตามปรารถนา ประสพความสุข.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หตฺเถน หตฺเถ เต ทินฺนํ น มยฺหํ
อุปกปฺปติ
ความว่า ดูก่อน ท่านผู้นิรทุกข์ ทานที่พี่ให้ในมือของน้อง
ย่อมไม่สำเร็จ คือ ย่อมไม่เผล็ดผล ได้แก่ ไม่ควรเป็นเครื่องอุปโภค
แก่ดิฉัน. บทว่า เอเสตฺถุปาสโก สทฺโธ ความว่า ผู้นี้ชื่อว่า อุบาสก
เพราะถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ และชื่อว่า ผู้มีศรัทธา เพราะ
ประกอบด้วยความเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม ย่อมอยู่ในที่นี้ คือ
ในหมู่ประชุมชนนี้. บทว่า เอตํ อจฺฉาทยิตฺวาน มม ทกฺขิณมาทิสา
ความว่า หัวหน้าพ่อค้า ให้อุบาสกนั้นนุ่งห่มผ้า ที่จะให้แก่เรา แล้ว
ให้ทักษิณานั้น คือ ปัตติทานมัย อุทิศถึงฉัน. บทว่า ตถาหํ สุขิต
เหสฺสํ ความว่า เมื่อท่านทำอย่างนั้น ดิฉันก็จะมีความสุข นุ่งห่ม
ผ้าทิพย์ จักได้รับความสุข.
พวกพ่อค้าได้ฟังดังนั้น จึงให้อุบาสกนั้นอาบลูบไล้แล้ว
ให้นุ่งผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อจะประกาศ
ข้อความนั้น จึงได้กล่าว 3 คาถาว่า:-
ก็พ่อค้าเหล่านั้น ยังอุบาสกนั้นให้อาบน้ำ
ลูบไล้ด้วยของหอม แล้วให้นุ่งห่มผ้า อุทิศส่วน
กุศลไปให้นางเวมานิกเปรตนั้น ในทันตาเห็นนั่น

เอง วิบากย่อมเกิดขึ้นแก่นางเวมานิกเปรตนั้น
โภชนะเครื่องนุ่งห่ม และน้ำดื่ม ย่อมเกิดขึ้น นี้
เป็นผลแห่งทักษิณา ในลำดับนั้น นางมีร่างกาย
บริสุทธิ์ นุ่งห่มผ้าอันสะอาด งามกว่าผ้าแคว้น
กาสี เดินยิ้มออกมาจากวิมานประเทศว่า นี้เป็น
ผลแห่งทักษิณา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ ได้แก่ ยังอุบาสกนั้น. ศัพท์
เป็นเพียงนิบาต. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า เต ได้แก่ พ่อค้า
เหล่านั้น. บทว่า วิลิมฺเปตฺวาน ได้แก่ ไล้ทาด้วยของหอมชนิดดีเลิศ.
บทว่า วตฺเถหจฺฉาทยิตฺวาน ความว่า ให้บริโภคโภชนะพร้อมทั้ง
กับข้าว อันสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แล้วให้นุ่งห่มผ้า คือ
ให้นุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ได้แก่ ให้ผ้า 2 ผืน. บทว่า ตสฺสา
ทกฺขิณมาทิสุํ ได้แก่ อุทิศส่วนบุญแก่นางเวมานิกเปรตนั้น.
บทว่า อนุ ในบทว่า สมนนฺภนุทฺทิฏฺเฐ นี้ เป็นเพียงนิบาต,
อธิบายว่า ในทันใดที่ได้เห็นทักษิณานั้นนั่นแล. บทว่า วิปาโก
อุปปชฺชถ ความว่า วิบาก คือผลแห่งทักษิณา ได้เกิดขึ้นแก่
นางเวมานิกเปรตนั้น. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า วิบากเป็นเช่นไร
นางเวมานิกเปรตจึงกล่าวว่า โภชนะเครื่องนุ่งห่ม และน้ำดื่ม เกิด
ขึ้นแล้ว. มีวาจาประกอบความว่า โภชนะอันเช่นกับโภชนะทิพย์
มีประการต่าง ๆ ผ้าอันเช่นกับผ้าทิพย์ ซึ่งรุ่งโรจน์ด้วยสีหลายหลาก
และน้ำดื่มมีหลายชนิด ผลเช่นนี้ย่อมเกิดเพราะทักษิณา.

บทว่า ตโต ได้แก่ ภายหลังแก่การได้รับวัตถุมีโภชนะ
ตามที่ได้กล่าวแล้ว. บทว่า สุทฺธา ได้แก่ มีร่างกายสะอาด ด้วย
การอาบน้ำ. บทว่า สุจิวสนา ได้แก่ นุ่งห่มผ้าอันสะอาดดี. บทว่า
กาสิกุตฺตมธารินี ได้แก่ นุ่งห่มผ้าชนิดดี แม้กว่าผ้าของชาวกาสี.
บทว่า หสนฺตี ความว่า หางเวมานิกเปรต พลางยิ้มแย้มออกมาจาก
วิมาน พร้อมการประกาศว่า ดูซิ ท่านทั้งหลาย นี่เป็นผลพิเศษ
แห่งทักษิณาของพวกท่านเป็นอันดับแรก.
ลำดับนั้น พวกพ่อค้านั้น ได้เห็นผลบุญโดยประจักษ์
อย่างนี้ จึงเกิดอัศจรรย์จิต อย่างไม่เคยมีมาก่อน เกิดความเคารพ
นับถือมาก ในอุบาสกนั้น พากันการทำอัญชลีกรรมเข้าไปยัง
ใกล้อุบาสกนั้น. ฝ่ายอุบาสก ให้พ่อค้าเหล่านั้น เลื่อมใสในธรรมกถา
โดยประมาณยิ่ง และให้ตั้งอยู่ในสรณะและศีล. พวกพ่อค้านั้น จึง
ถามถึงกรรมที่นางเวมานิกเปรตนั้นกระทำไว้ ด้วยคาถานี้ว่า :-
วิมานของท่านช่างงดงาม มีรูปภาพอัน
วิจิตรด้วยดี สว่างไสว ก่อนนางเทพธิดา อัน
พวกข้าพเจ้าทั้งหลายถามแล้ว ขอท่านจงบอก
เถิดว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไร ?

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุจิตฺตรูปํ ได้แก่ มีรูปภาพอันวิจิตร
ที่เขาจัดแจงไว้ด้วยดีแล้ว โดยเป็นรูปช้าง ม้า สตรี และบุรุษเป็นต้น
และโดยมาลากรรมและลดากรรมเป็นต้น. บทว่า รุจิรํ ได้แก่ น่า

รื่นรมย์ น่าชมเชย. บทว่า กิสฺส กมฺมสฺสิทํ ผลํ ความว่า นี้เป็น
ผลของกรรมเช่นไร คือ เป็นผลของทานมัย หรือของศีลมัย.
นางเทพธิดานั้น ถูกพวกพ่อค้านั้นถามอย่างนี้แล้ว เมื่อ
จะบอกผลกรรมทั้ง 2 อย่างนั้นว่า นี้เป็นผลของกุศลกรรมนิดหน่อย
ที่ดิฉันกระทำไว้เป็นอันดับแรก แต่สำหรับอกุศลกรรม จักเป็นเช่นนี้
ในนรกต่อไป ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
เมื่อดิฉันเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีจิตเลื่อมใส
ได้ถวายแป้งคั่วอันเจือด้วยน้ำมัน แก่ภิกษุผู้เที่ยว
บิณฑบาต มีจิตซื่อตรง ดิฉันได้เสวยวิบากแห่ง
กุศลกรรมนั้น ในวิมานนี้ สิ้นกาลนาน ก็ผลบุญ
นั้น เดี๋ยวนี้ ยังเหลืออยู่นิดหน่อย พ้น 4 เดือนไป
แล้ว ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ จักไปตกนรกอันเร่า
ร้อนแสนสาหัส มี 4 เหลี่ยม 4 ประตู แบ่งเป็น
ห้อง ๆ ล้อมด้วยกำแพงเหล็ก ครอบด้วยแผ่น
เหล็ก พื้นแห่งนรกนั้น ล้วนแล้วด้วยเหล็กแดง
ลุกเป็นเปลวเพลิง ประกอบด้วยความร้อน แผ่ไป
ตลอด 100 โยชน์โดยรอบ ตั้งอยู่ทุกเมื่อ ดิฉันจัก
ต้องเสวยทุกขเวทนาในนรกนี้น ตลอดกาลนาน
ก็การเสวยทุกข์เช่นนี้ เป็นผลของกรรมชั่ว เพราะ
ฉะนั้นดิฉันจึงเศร้าโศกอย่างแรงกล้า ที่จะไปเกิด
ในนรกนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขุโน จรมานสฺส ได้แก่ แก่
ภิกษุผู้ทำลายกิเลสรูปหนึ่งกำลังเที่ยวบิณฑบาต. บทว่า โทณินิมฺ-
มชฺชนํ
ซึ่งแป้งคั่วมีน้ำมันซึมซาบอยู่. บทว่า อุชุภูตสฺส ความว่า
ชื่อว่าถึงความเป็นผู้ซึ่งตรง เพราะไม่มีกิเลสเครื่องทำความคดโกง
แห่งจิต. บทว่า วิปฺปสนฺเนน เจตสา ความว่า ผู้มีจิตเลื่อมใสดี
ด้วยการเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม.
ม อักษรในบทว่า ทีฆมนฺตรํ นี้กระทำการต่อบท, อธิบายว่า
ระยะกาลนาน คือตลอดกาลนาน. บทว่า ตญฺจ ทานิ ปริตฺตกํ ความว่า
ผลบุญ 5 อย่าง บัดนี้ มีนิดหน่อย คือเหลืออยู่น้อย เพราะวิบาก
แห่งกรรมมีผลสุกงอม ไม่นานนักก็จากที่นี้ไป. ด้วยเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า พ้น 4 เดือนไปแล้ว ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้ ดังนี้เป็นต้น.
นางเปรตชี้แจงว่า พ้นจาก 4 เดือน คือ ในเดือนที่ 5 ถัดจาก 4 เดือน
ไป ดิฉันจักจุติจากวิมานนี้. บทว่า เอกนฺตกุฏกํ ความว่า จักมีทุกข์
แสนสาหัส เพราะจะต้องรับผลที่ไม่น่าปะรารถนาอย่างแสนสาหัส
นั่นแล. บทว่า โฆรํ แปลว่า ร้ายแรง. บทว่า นิรยํ ความว่า นรก
อันได้นามว่า นิรยะ เพราะทำวิเคราะห์ว่า เป็นที่ไม่มีความเจริญ
คือความสุข. บทว่า ปปติสฺสหํ ตัดเป็น ปปติสฺสามิ อหํ ข้าพเจ้า
จักตกนรก. ก็ท่านกล่าวว่า จตุกฺกณฺณํ ดังนี้เป็นต้น เพื่อจะแสดง
นรกนั้นโดยสรุป เพราะท่านแสดงถึงอเวจีมหานรก ในคำว่า นริยํ
นี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตุกฺกณฺณํ แปลว่า 4 เหลี่ยม. บทว่า
จตุทฺวารํ ได้แก่ ประกอบด้วยประตู 4 ด้าน ใน 4 ทิศ. บทว่า

วิภตฺตํ แปลว่า จำแนกด้วยดี. บทว่า ภาคโส แปลว่า โดยจำแนก.
บทว่า มิตํ แปลว่า เป็นห้อง ๆ บทว่า อโยปาการปริยนฺตํ แปลว่า
ล้อมด้วยกำแพงที่ทำด้วยเหล็ก. บทว่า อยสา ปฏิกุชฺชิตํ แปลว่า
ครอบแผ่นเหล็กล้วน ๆ.
บทว่า เตชสา ยุตา ได้แก่ มีเปลวไฟลุกโพลงอยู่ไม่ขาดระยะ
ด้วยไฟกองใหญ่ที่โพลงรอบด้าน. บทว่า สมฺนฺตา โยชนสตํ ได้แก่
แผ่ไปตั้ง 100 โยชน์ ในทุกทิศภายนอกโดยรอบอย่างนี้. บทว่า
สพฺพทา แปลว่า ตลอดกาลทุกเมื่อ. บทว่า ผริตฺวา ติฏฺฐติ แปลว่า
ซึมซาบตั้งอยู่. บทว่า ตตฺถ โยค มหานรกนั้น. บทว่า เวทิสฺสํ
แปลว่า จักได้รับ คือจักได้เสวย. บทว่า ผลญฺจ ปาปกมฺมสฺส
ความว่า การเสวยทุกข์เช่นนี้นี้ เป็นผลของกรรมชั่ว ที่ฉันได้ทำไว้.
เมื่อนางเทพธิดานั้น ประกาศผลแห่งกรรมที่ตนได้ทำไว้
และภัยที่จะตกนรกในอนาคต อย่างนี้แล้ว อุบาสกนั้นมีความกรุณา
เตือนใจ ให้คิดว่า เอาเถอะเราจักเป็นที่พึ่งของนาง แล้วกล่าวว่า
ดูก่อนแม่เทพธิดา เธอสำเร็จความปรารถนาทุกอย่าง กลายเป็น
ผู้ประกอบด้วยสมบัติอันยิ่ง ด้วยอำนาจทานของเราผู้เดียวเท่านั้น
แต่บัดนี้ เจ้าให้ทานแก่อุบาสกเหล่านี้แล้ว หวนระลึกถึงคุณแห่ง
พระศาสดา จักหลุดพ้นจากความเกิดในนรกได้. นางเปรตนั้น มีใจ
ร่าเริง ยินดีกล่าวว่า ดีละ แล้วให้อุบาสกเหล่านั้น อิ่มหนำด้วยข้าว
และน้ำอันเป็นของทิพย์ ได้ให้ผ้าทิพย์ และแก้วหลากชนิด. นางได้
ถวายคู่ผ้าทิพย์ มุ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ในมือของอุบาสกเหล่านั้น

แล้วกล่าวว่า ข้าแต่ท่านเจริญ นางเวมานิกเปรตตนหนึ่ง ขอฝาก
ไหว้ด้วยเศียรเกล้าแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้แล้ว
จึงไปกรุงสาวัตถีแล้วส่งการถวายบังคมไปถึงพระคาสดาว่า ขอ
ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระศาสดา ตามคำของเราเถิด. และ
ในวันนั้นนั่นเอง นางได้นำเอาเรือนั้นไปจอดยังท่าที่อุบาสกเหล่านั้น
ปรารถนา ด้วยอิทธานุภาพของตน.
ลำดับนั้น พ่อค้าเหล่านั้น ออกจากท่านั้นแล้ว ถึงกรุงสาวัตถี
โดยลำดับ เข้าไปยังพระเชตวัน ถวายคู่ผ้านั้นแด่พระศาสดา และ
ได้ให้พระองค์ทรงทราบถึงการฝากไหว้ของนางแล้วกราบทูล
เรื่องนั้น ตั้งแต่ต้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงกระทำ
เรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปัตติเหตุแล้ว ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร
แก่บริษัทผู้พรั่งพร้อมกันอยู่. พระธรรมเทศนานั้น ได้มีประโยชน์
แก่มหาชน. ก็ในวันที่ 2 อุบาสกเหล่านั้น ได้ถวายมหาทาน แก่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานแล้ว อุทิศส่วนบุญให้แก่
นางเปรตนั้น. และนางได้จุติจากเปตโลกนั้นแล้ว บังเกิดในวิมาน
ทอง ในภพชั้นดาวดึงส์ อันโชติช่วงไปด้วยรัตนะต่าง ๆ มีนางอัปสร
1000 นางเป็นบริวาร.
จบ อรรถกถาขัลลาฏิยะเปติวัตถุที่ 10

11. นาคเปตวัตถุ


ว่าด้วยกรรมทำให้เป็นเทพและเป็นเปรต


สามเณรถามว่า :-
[96] คนหนึ่งขี่ช้างเผือกไปข้างหน้า คนหนึ่ง
ขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดรไปท่านกลาง นางสาว
น้อยขึ้นวอไปข้างหลัง เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่ว
ทั้ง 10 ทิศ ส่วนท่านทั้งหลายมือถือฆ้อนเดิน
ร้องไห้ มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา มีตัวเป็นแผลแตก
พัง ท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบาปอะไรไว้ ท่าน
ทั้งหลายดื่มกินโลหิตของกันและกัน เพราะกรรม
อะไร.

เปรตทั้งสองได้ฟังสามเณรถามจึงตอบว่า :-
ผู้ใดขี่ช้างเผือกชาติกุญชรมี 4 เท้าไปข้าง
หน้า คนนั้นเป็นบุตรหัวปีของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อ
เป็นมนุษย์เขาได้ถวายทานแก่สงฆ์ จึงได้รับความ
สุขบันเทิงใจ ผู้ใดขี่รถเทียมด้วยแม่ม้าอัสดร 4
ตัว แล่นเรียบไปท่ามกลาง ผู้นั้นเป็นบุตรคนกลาง
ของข้าพเจ้าทั้งสอง เมื่อเขาเป็นมนุษย์เป็นคนไม่
ตระหนี่ เป็นทานบดีรุ่งโรจน์อยู่ นารีที่มีปัญญา
ดวงตากลมงาม ดุจตาเนื้อ ขึ้นวอนข้างหลัง ผู้นั้น